เสภาขุนช้างขุนแผน
"เย็นพระพายชายเฉือยมาเรือยริน หอมประทินซ่อนขู้ดอกบุหงา พอเบี่ยงบ่ายชายแสงสุริยา สาริการ้อยก้องสนั่นไพร ฝูงนางนวลแนบนวลแล้วชวนพลอด ขึ้นจับเจ่าเฝ้ายอดไม้เรียวไผ่ ฝูงนกเขาจับเขาไม่เศร้าใจ เสียงคูลั่นหวั่นไหวก้องวนา เค้าโมงจับโมกชะโงกมอง มักกู่ก้องฟังเสียงสำเนียงจ้า นกกะลิงจับกิ่งกระดังงา เสียงกระทาขันก้องคะนองไพร" (ตอนพลายเพชรยกทัพไปช่วยพลายบัวตีเมืองลำพูน)
บุหงา
บุหงา มี 2 ชนิด คือ บุหงาลำเจียก และบุหงาแต่งงาน
บุหงาลำเจียก ชื่อวิทยาศาสตร์ Goniothanlmus tapis
เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ลำต้นสูง ไม่เกิน 8 เมตร ลักษณะลำต้นสูงโปร่ง
มีกิ่งก้าน และใบไม่มากนัก ใบรูปรี ด้านบนสีเขียวแก่ ด้านล่างสีเขียวอ่อน ออกสลับ
ตรงข้ามตามข้อต้น ใบยาวประมาณ 5 - 6 นิ้ว ดอกออกตามข้อต้น และตามกิ่ง
ดอกมี 3 กลีบ ยาวไม่เกิน 2 นิ้ว คล้ายดอกกระดังงาไทย สีเหลืองอมเขียว
มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ดหรือกิ่งตอน
บุหงาเชิง หรือ บุหงาแต่งงาน ชื่อวิทยาศาสตร์ Friesocielsa Desmoides Stecnis
เป็นพรรณไม้กึ่งต้นลักษณะของต้น และใบคล้ายดอกสายหยุด
ใบเดี่ยวออกเรียงกันตามข้อ ใบค่อนข้างหนาและอ่อนนุ่ม ดอกออกตามข้อต้น
และตามปลายกิ่ง กลีบแบนยาวรี ยาวไม่เกิน 5 เซนติเมตร ซ้อนกัน 2 ชั้นๆ ละ
3 กลีบ สีเหลืองแกมเขียว มีกลิ่นหอม ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ด หรือกิ่งตอน
กระดังงา
กระดังงา มี 2 ชนิด คือ กระดังงาไทย และกระดังงาสงขลา
กระดังงาไทย ชื่อวิทยาศาสตร์ Cananga odorata Hook.
เป็นต้นไม้ยืนต้นขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ ใบใหญ่ รูปร่างของใบคล้าย
ใบเล็บมือนาง มักจะลู่ลงออกดอกเป็นช่อห้อยตามปลายกิ่งโคนก้านใบ กลีบดอกยาว
มี 6 กลีบ และเป็น 2 ชั้น สีเหลือง เขียว มีกลิ่นหอมมาก นิยมปลูกตามวัดมากกว่า
ตามบ้าน ออกดอกเกือบตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ด หรือกิ่งตอน
สรรพคุณทางสมุนไพร ดอกใช้ปรุงเป็นยาหอม แก้วิงเวียน และทำเป็น
ยาชูกำลังและใช้เป็นเครื่องปรุงน้ำอบไทย
กระดังงาสงขลา ชื่อทางวิทยาศาสตร์ Canange fruticasa.
เป็นต้นไม้พุ่มกลาง สูงไม่เกิน 2 เมตร กิ่งก้านแตกแขนงตั้งตรง
ใบเหมือนกระดังงาไทย กลีบดอกสีเหลืองอมเขียว ปลายของกลีบดอกมักจะ
งอขึ้น กลิ่นหอมน้อยกว่ากระดังงาไทย ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ดหรือกิ่งตอน
"เจ้าพลายงามตามทางไปกลางทุ่ง เขม้นมุ่งเขาเขินเดินสะอื้น ออกหลังบ้านตาลตะคุ่มเป็นพุ่มฟื้น ร่มรื่นเรียงเคียงตะเคียน ต้นแคคางกร่างกระทุ่มชอุ่มออก ทั้งช่อดอกดูไสวเหมือนไม้เขียน" (ตอนกำเนิดพลายงาม)
แค
ชื่อวิทยาศาสตร์ Sesbania grandiflora Desv.
แค เป็นไม้พุ่มกลาง ทรงต้นโปร่ง
เปลือกมีรอยแตกเป็นเส้น ใบจัดอยู่ในประเภทใบรวม
ใบเล็กเรียงเป็นระเบียบ ดอกเป็นรูปแบนยาว
ปลายดอกแหลมคล้ายดอกถั่ว เมื่อดอกบานจะเห็น
เกสรตัวผู้ยาว ดอกออกตามกิ่ง แคมีทั้งดอกสีแดง
และ สีขาว ดอกแค และ ยอดอ่อนใช้รับประทานได้
เมื่อดอกแก่แล้วจะเป็นฝักยาว มีเมล็ดเรียงอยู่ด้านใน การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ด
สรรพคุณทางสมุนไพร เปลือกแคต้น หรือฝน
รับประทานแก้ท้องร่วง แก้บิด ใบและดอกใช้รับประทาน
แก้ไข้เปลี่ยนฤดู ลำต้นถ้าทิ้งให้ผุจะมีเห็ดหูหนูขึ้น
"นกหกสล้างในกลางเถือน บ้างถาเพื่อนเที่ยวคะนองบ้างร้องโต้ นกแก้วป้อนลูกบนต้นชงโค แล้วบินโผพูดจ้ออยู่จอแจ ดูแม่นกแล้วคะนึงถึงคุณย่า เคยพูดเล่นเจรจาประจ๋อประแจ๋ ฝูงนก เอี้ยงเรียงจับต้นแกแล เหมือนหม่อมแม่เคียงเราเฝ้าชมเชย"
ชงโค
ชื่อวิทยาศาสตร์ Bauhinia purpurea Linn.
ชงโค เป็นไม้ยืนต้นขนาดกลาง ใบเป็นใบแฝดสีเขียว ใบกว้างประมาณ 3 นิ้ว ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง
กลีบดอกมี 5 กลีบ คล้ายดอกกล้วยไม้ เกสรตัวผู้ยาว มี 5 เส้น เกสรตัวเมียมี 2 เส้น ดอกเป็นสีชมพูแดง และสีขาว มีกลิ่นหอม
เล็กน้อย บานทนนานประมาณเดือนครึ่ง เมื่อดอกโรยแล้วจะติดฝักคล้ายฝักถั่ว ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ดหรือกิ่งตอน
"กุมารทองนำหน้าพาจร ข้ามดอนเขาเขินเนินไศล พระพายพัดเกสรขจรไกล หอมตรลบอบไปในพนา ดื่นดอกออกช่อบุปผชาติ ดาดาษหว่างเวิ้งวังหวัดผา จึงชี้ชวนวันทองน้องพี่อา เจ้าดูพรรณบุปผาน่ายวนใจ นางแย้มเยิ้มยิ้มอยู่ริมไพร เหมือนที่ไร่ฝ่ายพิมพ์เจ้ายิ้มแย้ม ซ่อนชู้ ชูช่ออรชน เหมือนเราซ่อนเป็นคู่ชู้แฉล้ม ซ่อนกลิ่นส่งกลิ่นประทิ่มแกม เหมือนกลิ่นแก้มโฉมยงเมื่อส่งตัว เล็บมือนางกางกลีบกระทัดรัด เหมือนมือเจ้าปรนนิบัติพัดวีผัว บานเย็นบานสะพรั่งฝั่งสระบัว เหมือนเย็นเช้าเย้ายั่วอยู่กับน้อง มะลิวัลย์พันระกำขึ้นแกมจาก ได้สามวัดกรรมพรากไปจากห้อง" (ตอนขุนช้างตามนางวันทอง)
นางแย้ม
ชื่อวิทยาศาสตร์ Clerodendrum Fragrans Vent.
นางแย้ม เป็นไม้พุ่มต่ำลำต้นสูงไม่เกิน 1.50 เมตร ใบเป็นใบเดี่ยวออกเป็นคู่ ๆ ใบกลมโตสีเขียว
กว้างประมาณ 5 นิ้ว ยาวประมาณ 7 นิ้ว รูปคล้ายใบโพ ริมใบเป็นจัก ใบสากระคายมือ ดอกออกเป็นช่อตามปลายกิ่ง
ช่อหนึ่งมีหลายดอกซ้อนกันแน่น ดอกแต่ละดอกคล้ายดอกมะลิซ้อน สีขาวมีกลิ่นหอมมาก ออกดอกตลอดปี
การขยายพันธุ์ ใช้ตอนกิ่ง หรือปักชำ
สรรพคุณทางสมุนไพร รากนางแย้ม ปรุงเป็นยาขับปัสสาวะ แก้โรคลำไล้และไตพิการ
ซ่อนชู้
ซ่อนกลิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Polianthes Tuberosa Linn.
ซ่อนชู้ ซ่อนกลิ่น เป็นไม้ล้มลุกประเภทใบเลี้ยงเดี่ยว เป็นพันธุ์ไม้ที่มีลำต้นเป็นหัวอยู่ในดิน
คล้ายต้นกระเทียม รากเป็นกระจุกแบบกระเทียม ใบสีเขียวเล็ก และเรียวยาวโผล่ออกมาจากพื้นดิน ใบยาว
ประมาณ 1 ฟุต ดอกจะชูออกมาจากกลางกอตั้งตรง ดอกจะเกาะเรียงตามก้านดอกจนถึงยอด สีขาวมีกลิ่น
หอมเย็น กลิ่นจะหอมตั้งแต่ตอนเย็นถึงกลางคืน ดอกจะออกเมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว ดอกมีทั้งชนิดซ้อน และ
ไม่ซ้อนชนิดซ้อนเรียกว่า ดอกซ่อนชู้ ส่วนชนิดไม่ซ้อนเรียกว่า ดอกซ่อนกลิ่น
การขยายพันธุ์ ใช้แยกหัว
บานเย็น
เป็นไม้ล้มลุกยืนต้น มีลำต้นสูงไม่เกิน 2 ฟุต ใบออกเป็นคู่ๆ สลับกันไป
ตามลำต้น ใบสีเขียวเป็นรูปหอก ปลายใบแหลม เส้นกลางใบสีเหลือง
มองเห็นชัด ดอกเป็นรูปแตร มีหลายสี เช่น สีเหลือง สีชมพู สีขาว สีม่วง
ดอกจะบานในตอนเย็นถึงตอนกลางคืน และจะหุบในตอนเช้า ดอกจะออก
เมื่อต้นโตเต็มที่แล้ว เมื่อดอกโรยจะมีเมล็ดกลมคล้ายเมล็ดพริกไทย
การขยายพันธุ์ ใช้การเพาะเมล็ด
สรรพคุณทางสมุนไพร ใช้เป็นยาขับเหงื่อ แก้ไข้ ระงับความร้อน
วันพุธที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2551
โบราณสถานของไทย
*-*โบราณสถานของไทย*-*
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พนะนครศรีอยุธยา
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จ.พนะนครศรีอยุธยา
วัดพระศรีสรรเพชญ์ เป็นวัดสำคัญที่สร้างอยู่ในพระราชวังหลวง เช่นเดียวกับวัดพระศรีรัตนศาสดารามที่กรุงเทพฯ หรือ วัดมหาธาตุแห่งกรุงสุโขทัยในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ใช้เป็นที่ประทับ ต่อมาสมเด็จพระบรม ไตรโลกนาถ ทรงสร้างพระราชมณเฑียรขึ้นใหม่แล้วโปรดยกให้เป็นเขตพุทธาวาส เพื่อประกอบพิธี สำคัญต่าง ๆ ของบ้านเมือง จึงเป็นวัดในเขตพระราชวังที่ไม่มีพระสงฆ์จำพรรษา ต่อมาในสมัย สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2ทรงสร้างพระสรรเพชญ ดาญาณ" ซึ่งภายหลังเมื่อเสียกรุง พ.ศ.2310 พม่าได้เผา ลอกทองคำไปหมด และองค์พระพังยับเยิน เจดีย์องค์ที่ 3 ถัดมาจากด้านทิศตะวันตกเป็นเจดีย์บรรจุพระอัฐิ ของสมเด็จพระบรมราชาที่ 2 ซึ่งสมเด็จ พระบรมราชาที่ 4 พระราชโอรสได้โปรดให้สร้างขึ้น
วัดใหญ่ชัยมงคล จ.พนะนครศรีอยุธยา
วัดใหญ่ชัยมงคล (วัดเจ้าพระยาไท หรือวัดป่าแก้ว) ตั้งอยู่ทางฝั่งตะวันออกของแม่น้ำป่าสักถ้ามาจากตัวเมืองข้ามสะพาน สมเด็จพระนเรศวร-มหาราช แล้วจะเห็นพระเจดีย์วัดสามปลื้มอยู่กลางสี่แยก เลี้ยวขวาไปไม่ไกลก็จะเห็น ป้าย มีทางแยกซ้ายมือหรือหากมาทางถนนสายเอเซียเลี้ยวเข้าแยกอยุธยา แล้วพบพระเจดีย์ใหญ่กลาง ถนนก็เลี้ยวซ้ายวัดนี้ตามข้อมูลทางประวัติศาสตร์สันนิษฐานว่าเมื่อพ.ศ. 1900 พระเจ้าอู่ทองทรงสร้าง "วัดป่าแก้ว" ขึ้นตรงที่พระราชทานเพลิงพระศพ "เจ้าแก้วเจ้าไท"ในการสร้างวัดป่าแก้วครั้งนี้ ได้ทรง สร้างพระเจดีย์ขึ้นคู่กับ พระวิหารด้วย ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2135 สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงเสริม พระเจดีย์ให้ ใหญ่และสูงขึ้นพร้อม ๆ กับการสร้างเจดีย์ยุทธหัตถีที่ตำบลหนองสาหร่าย จังหวัด สุพรรณบุรี เพื่อเฉลิมพระ เกียรติเมื่อคราวทรงชนะศึกยุทธหัตถี พระราชทานนามวัดใหม่ว่า "วัดชัยมงคล" ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหญ่ ชัยมงคล วัดนี้ร้างไปเมื่อคราวเสียกรุงครั้งสุดท้ายแล้ว เพิ่งจะตั้งขึ้นเป็นวัดที่มีพระสงฆ์อยู่จำพรรษาเมื่อไม่นานมานี้เอง
วัดพุทไธสวรรย์ จ.พนะนครศรีอยุธยา




วัดพุทไธสวรรย์ อยู่ริมแม่น้ำด้านใต้ ฝั่งตรงข้ามของเกาะเมือง หากเดินทางโดยรถยนต์และใช้เส้นทางสายอยุธยา-เสนา ทางทิศ ตะวันตกของเกาะเมือง ข้ามสะพานวัดกษัตราธิราช แล้วเลี้ยวซ้ายจะผ่านวัดไชยวัฒนาราม มีป้ายบอกทางเป็น ระยะไปจนถึงทางแยกซ้ายเข้าวัดพุทไธสวรรค์ วัดนี้สร้างขึ้นบริเวณที่สมเด็จพระเจ้าอู่ทองอพยพมาสร้างเมือง ใหม่ เดิมบริเวณนี้เรียกว่า "เวียงเล็ก" หรือ "เวียงเหล็ก" ซึ่งเป็นตำหนักที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าอู่ทอง ภายในวัดมีสิ่งที่น่าสนใจคือ พระปรางค์ประธานองค์ใหญ่เป็นศิลปะแบบอยุธยาตอนต้น
พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ จ. ลพบุรี




พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ อยู่ในตัวเมืองลพบุรี ชาวเมืองลพบุรีเรียกว่า "วังนารายณ์" เป็น พระที่นั่งที่สร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์ มหาราช เพื่อใช้เป็นที่ประทับ ประกอบไปด้วยกำแพงพระราชวังมี 3 ชั้น แบ่งเป็นเขตพระราชฐานชั้นนอก พระราชฐานชั้นกลาง และพระราชฐานชั้นใน ก่อสร้างด้วยอิฐถือปูน กำแพงพระราชวังทั้งหมดมีใบเสมาอยู่ ข้างบนกำแพง เว้นระยะอย่างสวยงาม กำแพงเหล่านี้ภายในมักเจาะ ช่องเล็ก ๆไม่ทะลุ ตอนบนทำเป็นรูป โค้งคล้ายกลีบบัว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ โปรดฯ ให้ซ่อมแซมขึ้นใหม่ใน พ.ศ. 2399 เพื่อเป็นราชธานีชั้นใน และพระราชทานชื่อว่า "พระนารายณ์ ราชนิเวศน์" ภายในมีพระที่นั่งและตึกต่าง ๆ ซึ่งได้สร้างขึ้นใน รัชกาล สมเด็จพระนารายณ์ฯ และรัชกาล พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดอุโมงค์ จ. เชียงใหม่


วัดอุโมงค์ ตั้งอยู่ที่ถนนสุเทพ ในตัวเมืองเชียงใหม่ สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้ามังรายเมื่อราวปี พ.ศ. 1839 และได้บูรณะเพิ่มเติม ในสมัยพระเจ้ากือนา เป็นวัดที่มีอาณาเขตกว้างขวาง มีโบราณสถานที่สำคัญ คือ สิ่งก่อสร้างขนาดใญ่เป็นแนวยาว คล้ายกำแพง ภายในเป็นอุโมงค์ทางเดินหลายช่องเดินทะลุกันได้ ด้านบนกำแพงมีเจดีย์ก่ออิฐถือปูนขนาดใหญ่ ปัจจุบันปรับปรุงบริเวณเป็นสวนพุทธธรรม ร่มรื่นด้วยแมกไม้นานาพรรณ
วัดเจดีย์เหลี่ยมหรือวัดกู่คำ จ. เชียงใหม่


วัดเจดีย์เหลี่ยมหรือวัดกู่คำอยู่ถนนสายเกาะกลาง อำเภอเมือง สร้างขึ้นในสมัยของพระเจ้าเม็งราย เมื่อปี พ.ศ. 1831 กล่าวคือ หลังจากที่พระองค์ได้ยกทัพมาตีเมืองลำพูนแล้ว พระองค์ทรงมอบเมืองลำพูนให้อำมาตย์คนสนิทชื่ออ้ายฟ้า ครองเมืองแทน ส่วนพระองค์ก็ยกทัพไปสร้างเมืองใหม่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
วัดศรีเทพประดิษฐาราม (วัดศรีเทพ) จ. นครพนม



วัดศรีเทพประดิษฐาราม (วัดศรีเทพ) เป็นวัดที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง ถนนสุนทรวิจิตร มีพระอุโบสถและ จิตรกรรมฝาผนังที่สวยงาม และยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่สำคัญ คือ พระแสง ซึ่งมีตำนานเล่าว่าสร้างขึ้นพร้อมกับ พระสุกและหลวงพ่อพระใส ( วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ) นอกจากพระแสงจะเป็นที่เคารพสักการะแล้ว ชาวนครพนมยังเคารพนับถือรูปปั้นหลวงปู่จันทร์ (พระเทพสิทธาจารย์) อดีตพระเกจิอาจารย์ ชื่อดังรูปหนึ่ง ของภาคอีสานด้วย
พระธาตุเรณูนคร จ. นครพนม




พระธาตุเรณูนครประดิษฐานอยู่ ณ บ้านเรณูนคร สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2461 โดยจำลองมาจากองค์พระธาตุพนมสูง 35 เมตร กว้าง 8.37 เมตร มีซุ้มประตู 4 ด้าน ภายในเป็นโพรงบรรจุพระไตรปิฏก พระพุทธรูปทองคำภายในวัพระธาตุเรณูนครนอกจากมีองค์พระธาตุเรณูนครแล้ว ยังมีพระพุทธรูปพระองค์แสน หน้าตักกว้าง 50 เซนติเมตรสูง 50 เมตร ประดิษฐานอยู่ในโบสถ์วัพระธาตุเรณูนคร พระธาตุเรณูนครนี้ อยู่ห่างจากพระธาตุพนมประมาณ15 กิโลเมตร และอยู่ห่างจากตัวจังหวัดนครพนมไปทางใต้ประมาณ 52 กิโลเมตร ตามทางหลวงหมายเลข212 พอถึง กิโลเมตรที่ 44 เลี้ยวขวาไปตามทางหลวงหมายเลข 2031 อีกประมาณ 7 กิโลเมตร
โดย crow13th
วันที่ จันทร์ มกราคม 2551
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)